วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่น ณ Columbo Craft Village ชุมชนของนักกิจกรรมเฟมมินิสต์ IGDN ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณแบมและคุณซูมสมาชิกของกลุ่มเฟมะนิดเฟรนด์มีต เกี่ยวกับประสบการณ์จากการเข้าร่วมงาน AWID Forum (Association for Women’s Rights in Development) จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมนักสิทธิสตรี นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวด้านความหลากหลายทางเพศ เป็นโอกาสสำคัญในการเรียนรู้แนวทางการเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์จากทั่วโลก ทั้งคู่ได้แบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดที่ได้รับจากงานนี้ รวมถึงการนำมาปรับใช้กับกลุ่มเฟมะนิดเฟรนด์มีตด้วย
เฟมะนิดเฟรนด์มีต คือใคร?
เฟมะนิดเฟรนด์มีต เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับให้Queer, LGBTQ+ หรือว่า เป็นเฟมินิสต์ ฯลฯ มาเจอกัน ทำความรู้จักกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน สนทนากันแบบไม่มีวิทยากร ไม่มีผู้เชียวชาญ ปราศจากการ mansplain
“สะท้อนงาน AWID”
คุณซูม หนึ่งในสมาชิกของเฟมะนิดเฟรนด์มีตเล่าว่า การเข้าร่วม AWID เป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ว่ากลุ่มเฟมินิสต์จากประเทศอื่น ๆ มีวิธีการเคลื่อนไหวยังไง “เราอยากรู้ว่าใครทำอะไรคล้ายเราบ้าง หรือมีวิธีไหนที่เราจะนำมาปรับใช้กับกลุ่มของเราได้”
คุณแบม เสริมว่า สนใจไปดูว่าเวทีสากลนี้มีรูปแบบการทำกิจกรรมอย่างไร “ในไทย งานเฟมินิสต์มักเป็นเสวนาหรือเลคเชอร์ แต่ที่ AWID เราเห็นเวิร์คช็อปที่สร้างปฏิสัมพันธ์จริง ๆ เช่น การเต้น การปักผ้า หรือแม้แต่พิธีกรรมทางจิตวิญญาณ”
แสงเล็กๆ ของ Zapatista
คุณซูมเล่าถึงเซสชันที่เธอประทับใจที่สุด “A small Zapatista light” ซึ่งจัดโดยนักเคลื่อนไหวจากเม็กซิโก “พวกเขาไม่มานั่งเลกเชอร์ให้ฟังว่าเฟมินิสต์คืออะไร แต่พาเราทำพิธีกรรม ให้เราสัมผัสและรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการจริง ๆ”
พิธีกรรมนี้ให้ผู้เข้าร่วมวางสิ่งของลงบนแท่นบูชา เป็นสัญลักษณ์ของการปล่อยวางความรู้สึกถูกกดทับ และร่วมกันสร้างพลังของชุมชนเฟมินิสต์ คุณซูมเล่าว่า “เราได้รับการโอบอุ้มจากเพื่อน ๆ ในขบวนการ ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นเฟมินิสต์ที่ดีพอ โดยไม่ต้องพยายามเป็นเหมือนใคร”
คุณแบม ก็รู้สึกไม่ต่างกัน “ถึงเราจะไม่ได้เป็นชนชาติเดียวกันกับพวกเขา แต่เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นเสียงเล็ก ๆ ที่มีพลัง เหมือนกับพวกเขา”
กฎบัตรเฟมินิสต์
อีกเซสชันที่คุณแบมประทับใจคือ “Reinvigorating the Feminist Charter and countering anti-rights organising” ซึ่งพูดถึง “กฎบัตรเฟมินิสต์” หรือแนวปฏิบัติที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าใจว่าการเป็นเฟมินิสต์หมายถึงอะไร และสามารถใช้มันเพื่อต่อสู้กับการกดขี่ในชีวิตประจำวันได้
“มันเหมือนกับมีคนยื่นแผนที่ให้เราเดินไปข้างหน้า เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่าตอนเด็กเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ต้องล้างจานทุกวัน ขณะที่พ่อและน้องชายไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วพอเธอได้อ่าน Feminist Charter มันเหมือนเธอได้รับเครื่องมือที่ช่วยอธิบายความรู้สึกของตัวเอง และช่วยให้เธอลุกขึ้นมาต่อสู้”
Rethinking Reliance on Punitive Approaches to Addressing Gender-based Violence
เป็นเซสชันที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับเฟมะนิดเฟรนด์มีตว่าความยุติธรรมอาจไม่ได้หมายถึงแค่การลงโทษ แต่คือการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ และลดความเสียหายจากอาชญากรรม แนวคิดนี้มีรากฐานจาก Abolitionist Feminism ที่มุ่งล้มเลิกระบบตำรวจและเรือนจำ เนื่องจากเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมแบบดั้งเดิมเป็นเครื่องมือของอำนาจที่กดขี่ผู้ด้อยโอกาส ในเซสชัน ผู้เข้าร่วมถูกตั้งคำถามว่า หากไม่มีตำรวจหรือคุก เราจะจัดการกับผู้กระทำผิดอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงซ้ำ หลายประเด็นเป็นที่ถกเถียง เช่น ศาลควรให้ความสำคัญกับเสียงของเหยื่อมากที่สุดหรือไม่? บางคนเชื่อว่าควรฟังเหยื่อก่อนเป็นหลัก ขณะที่บางคนมองว่าควรพิจารณาภาพรวมของสังคมว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรให้ยั่งยืน
ในบริบทของไทย แนวคิดนี้ยังไม่มีพื้นที่ในการถกเถียงหรือนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจในกระบวนการลงโทษซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ มากกว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ Transformative Justice จึงเป็นแนวคิดที่ควรถูกพูดถึงมากขึ้นในหมู่นักกิจกรรม เพื่อหาทางออกที่ไม่ใช่แค่การลงโทษ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เอื้อต่อความรุนแรงให้หมดไปจริง ๆ
New Feminist Mythologies: สร้างตำนานใหม่ให้เฟมินิสต์
คุณแบมเล่าว่า ในเซสชัน New Feminist Mythologies ที่งาน AWID 2024 ได้สำรวจพลังของเรื่องเล่าผ่านร่างกาย เสียงเพลง และการเขียน บรรยากาศเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวอิสระ ก่อนเปลี่ยนเป็นการบันทึกความรู้สึกลงกระดาษ ผ่านภาพ วาด กลอน หรือคำพูด ต่อมา ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัวโดยให้ผู้อื่นเป็นผู้เขียนแทน ผลลัพธ์ที่ได้คือ การตระหนักว่าคำพูดของเราสามารถถูกตีความและเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกส่งต่อ เช่นเดียวกับตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น กิจกรรมนี้ไม่ได้ให้ข้อสรุปตายตัว แต่เปิดพื้นที่ให้เราสร้างเรื่องเล่าของตัวเอง แทนที่จะปล่อยให้ใครเป็นผู้กำหนด
Pluriversity VS University
เซสชัน Pluriversity and Telluric Peoples เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการศึกษาและอัตลักษณ์ของชนพื้นเมือง โดยนักกิจกรรมชาว Mapuche จากปาตาโกเนีย อาร์เจนตินา ถ่ายทอดแนวคิด Pluriversity ซึ่งเป็นการศึกษาแบบพหุศาสตร์ที่ปฏิเสธมาตรฐานเดียวของความรู้แบบตะวันตก (University) และให้คุณค่ากับองค์ความรู้ของชนพื้นเมืองที่สืบทอดกันมา การศึกษานี้เป็นแนวทางในการต่อต้านอาณานิคม ชายเป็นใหญ่ และทุนนิยม เพื่อให้ลูกหลานชนพื้นเมืองสามารถเรียนรู้จากรากเหง้าของตนเอง ไม่ถูกกลืนไปกับระบบการศึกษากระแสหลักที่เน้นภาษาและแนวคิดแบบตะวันตก เซสชันนี้ยังสะท้อนปัญหาความทับซ้อนของอัตลักษณ์ เช่น การที่ขบวนการสิทธิสตรีในอาร์เจนตินามองข้ามผู้หญิงชนพื้นเมือง หรือกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขา รวมถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินจากการล่าอาณานิคมยุคใหม่ กิจกรรมนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เห็นว่าการศึกษาและความรู้สามารถเป็นเครื่องมือในการเรียกคืนอำนาจและการดำรงอยู่ของชนพื้นเมืองในโลกที่มุ่งครอบงำด้วยแนวคิดกระแสหลัก
การเคลื่อนไหวที่หลากหลายกว่าที่คิด
ประสบการณ์จาก AWID ทำให้เฟมะนิดเฟรนด์มีตได้เห็นว่า การเคลื่อนไหวสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะผ่านการสนทนา การทำงานศิลปะ หรือแม้แต่พิธีกรรมทางจิตวิญญาณ
การเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประท้วงหรือการแก้ไขกฎหมาย แต่ยังรวมถึงการสร้างคอมมูนิตี้และการนำแนวคิดที่เชื่อมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย แนวทางแบบ Emergent Strategy เน้นการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็ก ๆ โดยเริ่มจากตัวเราเอง เช่น ถ้าเราเชื่อในเฟมินิสม์ เราต้องปฏิบัติต่อเพื่อนและคนรอบข้างอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่แค่เรียกร้องสิทธิแรงงาน แต่ต้องทำให้สภาพการทำงานของเราสะท้อนสิ่งที่เราสนับสนุนจริง ๆ เช่น หากเราต่อต้านทุนนิยม ก็ต้องตั้งคำถามว่าวิธีการทำงานของเรายังอยู่ภายใต้ตรรกะของมันหรือไม่ เฟมินิสต์เฟรนด์มีตเองเป็นตัวอย่างของการเคลื่อนไหวที่เน้นสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนชายขอบ แม้จะดูเหมือนเป็นแค่กลุ่มเพื่อน แต่แท้จริงแล้ว นี่คือรูปแบบหนึ่งของ activism ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงผ่านความสัมพันธ์และโครงสร้างทางสังคมที่ไม่กดขี่กัน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวมีหลายมิติและอาจเริ่มต้นได้จากจุดที่เล็กที่สุด
“การเคลื่อนไหวที่เราโฟกัสที่จุดเล็กๆ เราไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเปลี่ยนมวลชนจำนวนมาก แต่เราเริ่มจากกลุ่มเล็กๆคือเริ่มจากตัวเราเอง” คุณซูมกล่าว
ความสำคัญของ Well-being ในขบวนการเคลื่อนไหว
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่คุณแบมและคุณซูมได้เรียนรู้จากงาน AWID คือแนวคิดเรื่อง Well-being หรือความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกในขบวนการเคลื่อนไหว ซึ่งทั้งคู่เห็นว่าควรนำมาใช้กับ เฟมะนิดเฟรนด์มีต มากขึ้น
“เราปรับวิธีทำงานของเราไปเรื่อย ๆ ตามฟีดแบ็กของเพื่อน ๆ เช่น ถ้าใครเหนื่อยก็สามารถพักได้ และเราก็หาวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้นเพื่อให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ” คุณซูมกล่าว
ทั้งคู่เล่าว่า ในอดีตกลุ่มมีระบบการประชุมที่เคร่งครัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปพบว่าการบังคับให้ทุกคนเข้าร่วมและทำตามกฎเกณฑ์เดิม ๆ ไม่ได้ช่วยให้เกิดผลงานที่ดีขึ้น กลับทำให้บางคนหมดไฟและรู้สึกกดดัน
“เราพยายามสร้างพื้นที่ที่ไม่มีใครบังคับกัน ไม่มีใครถูกกดดันให้ต้องเข้าร่วมประชุมทุกครั้ง ถ้าใครไม่ไหวก็พัก ไม่มีใครว่ากัน และกลับกลายเป็นว่าการทำงานในบรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบนี้ทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้น” คุณแบมกล่าว
พื้นที่สื่อสารผ่าน Feminist Zine
เฟมะนิดเฟรนด์มีต มีการทำ Feminist Zine (สิ่งพิมพ์ทำมือ) ภายในกลุ่มอยู่แล้ว เพื่อเป็นช่องทางให้สมาชิกสามารถเล่าเรื่องราวของตนเองและสื่อสารแนวคิดเฟมินิสต์อย่างอิสระ โดยใช้วิธีการทำงานแบบ Zine Collective ที่เปิดโอกาสให้เพื่อนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการผลิตและแลกเปลี่ยนกันซึ่งเมื่อไปเข้าร่วมงาน AWID คุณแบมและคุณซูมได้เห็นบูธที่จัดแสดงเกี่ยวกับการทำ Zine ที่มีตัวอย่างมากมายจากนักเคลื่อนไหวทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่ได้เข้าไปร่วมเวิร์กช็อปโดยตรง แต่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเห็นว่ามีแนวคิดเดียวกันในการใช้ Zine เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ไม่ต้องผ่านสื่อกระแสหลัก
“เรารู้สึกว่า Zine เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเขียนสิ่งที่อยากเล่าได้อย่างอิสระ ไม่ต้องมีบรรณาธิการมาตรวจสอบหรือบังคับให้ปรับแก้ เราทำ Feminist Zine Collective ที่ขอนแก่น เพื่อให้ทุกคนมีพื้นที่แสดงออกและเผยแพร่ความคิดของตัวเอง” คุณซูมอธิบาย


แนวคิด Decolonial Feminism และ Conflict Management
อีกแนวคิดที่คุณแบมและคุณซูมสนใจจากงาน AWID คือ Decolonial Feminism หรือ “สตรีนิยมปลดแอกจากอาณานิคม” ซึ่งเป็นการรวมทุกคนเข้ามาในขบวนการเคลื่อนไหวโดยไม่มีการกีดกัน
“เราอยากให้ขบวนการ Feminist ของไทยรวมทุกคนเข้ามาได้ ไม่มีใครเป็น Feminist ที่แย่ ไม่มีใครผิด ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง” คุณซูมกล่าว
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังให้ความสำคัญกับการจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ภายในขบวนการเคลื่อนไหว
“หลายครั้งในขบวนการเคลื่อนไหวเรามักจะตัดสินคนที่คิดต่างจากเรา หรือขับไล่คนที่ทำผิดพลาดออกไปเลย แต่เราคิดว่าเราควรหาวิธีจัดการกับความขัดแย้ง ให้มีพื้นที่พูดคุยกัน และยังสามารถทำงานร่วมกันได้” คุณแบมกล่าว
โอกาสและความท้าทายในบริบทอีสาน
เมื่อพูดถึงโอกาสและความท้าทายในบริบทของภาคอีสาน คุณแบมและคุณซูมมองว่าผู้หญิงอีสานมีพลังและความเข้มแข็งอยู่แล้ว แต่ยังขาดพื้นที่ในการรวมตัวกัน
“เราอยากเห็นกลุ่ม Feminist และ Queer ในภาคอีสานเพิ่มขึ้น อยากเห็นพื้นที่ที่เราได้มาพบปะกันมากขึ้น” คุณซูมกล่าว
ปัญหาสำคัญที่คุณแบมและคุณซูมพบคือ ขาดพื้นที่และทรัพยากร ทั้งเรื่องการเงินและสถานที่สำหรับการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะบาร์หรือสถานที่ที่เป็นมิตรกับชุมชนเลสเบี้ยนและเควียร์
“เพื่อน ๆ หลายคนบอกว่าอยากให้มีบาร์เลสเบียนในขอนแก่น เราก็พยายามบิวท์เพื่อน ๆ ว่าถ้ามีเงินก็เปิดร้านกัน” คุณซูมหัวเราะ
ข้อคิดส่งท้าย Feminism คือเรื่องของทุกคน
ท้ายที่สุด คุณแบมและคุณซูมอยากส่งต่อข้อคิดสำคัญจากงาน AWID ไปยังขบวนการ Feminist ในไทย
“อยากให้ทุกคนไปด้วยกัน ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” คุณซูมกล่าว
“Feminism ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หญิง แต่มันเป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน และเราต้องคิดถึงคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วย” คุณแบมกล่าวเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหว Feminist และ Queer ในไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่จากสิ่งที่กลุ่ม เฟมะนิดเฟรนมีต ได้เรียนรู้จากเวทีระดับโลกอย่าง AWID แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวที่ดีไม่จำเป็นต้องหนักและกดดัน แต่สามารถเป็นพื้นที่ทดลอง เป็นที่พักใจ และเป็นบ้านให้กับทุกคนได้
เรื่อง: นรินรัตน์ อุทัยกัน (มด) , อภิญญา ดวงสำราญ (ครีม)
ภาพ: นรินรัตน์ อุทัยกัน (มด)